วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…
ในวันที่ฤดูร้อนกำลังจะสิ้นสุด ขณะกระต่ายภูเขาตัวหนึ่งขุดโพรงใกล้ต้นไม้อย่างขะมักเขม้น นกน้อยซึ่งเกาะกิ่งไม้เฝ้ามองร้องถามอย่างแปลกใจว่า
“เธอไม่คิดว่าโพรงมันเล็กไปหน่อยหรือจ๊ะ”
“ไม่หรอกครับ” กระต่ายตอบด้วยความสุภาพพอกัน เขาเป็นกระต่ายหนุ่มที่แข็งแรงมาก แม้ปากจะพูดไปด้วย ขาทั้งสี่ก็ทำงานไม่หยุดทีเดียว
“ทำไมถึงคิดว่ามันจะเล็กไปหละครับ ประเดี๋ยวสิ รอให้เสร็จเสียก่อน เธอจะเห็นโพรงที่กระต่ายโสดอย่างผม จะอยู่ได้สบายเลยทีเดียว” 
“อ้าว ! สร้างบ้านใหม่อย่างนี้ เธอไม่มีครอบครัว ไม่มีแม่กระต่าย ไม่มีลูกกระต่ายหรอกเหรอ?”นกน้อยเสียงหลงอย่างประหลาดใจ
“ ไม่มีครับ” 
“แล้ว...แล้ว อยู่คนเดียวอย่างนี้ เธอไม่เหงาหรือจ๊ะ” 
กระต่ายป่านิ่งคิดครู่หนึ่ง
“ก็...ก็มีบ้างครับ”
“ก็มีบ้าง...” นกน้อยเอาปลายปีกเกาศรีษะ 
“ก็นั้นสิ เหงา แล้วเธอก็ยังยืนยันจะอยู่คนเดียวต่อไปอีก เธออยู่ได้อย่างไร ฉันไม่เข้าใจ” 
กระต่ายป่าตบดินรอบปากโพรงเป็นครั้งสุดท้าย แต่แทนที่จะมุดเข้าไปข้างใน มันกลับเอนตัวนอนพิงโคนไม้ มองฟ้าใส แดดอุ่นอย่างเป็นสุข ลมพัดเบาๆ ทำให้ดอกไม้ดอกหนึ่งจากกิ่งที่นกน้อยเกาะอยู่หมุนคว้างลงมา มันจึงคว้าเอาไว้
กระต่ายไม่คิดจะตอบคำถามของนกน้อย แต่ในเมื่อเธอเร่งเร้ามาอีกครั้ง มันจึงใช้เท้าปุยๆและฟูเหมือนดอกไม้บาน ชีไปอีกด้านหนึ่งของภูเขา ที่ซึ่งมีกระท่อมหลังเล็กๆ หลังหนึ่งปลูกอยู่ แล้วจึงเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้นกน้อยฟัง 
เป็นเรื่องของผู้ชายหนึ่ง ผู้ชายที่อยู่เพียงลำพังคนเดียวบนภูเขาภาคเหนือ
เขาไม่ใช่คนแถวนี้แต่ก็อยู่มานานพอดูแล้ว เขาปลูกผัก หาของป่า และทุกแปดโมงเช้ากับหกโมงเย็น เขาจะร้องเพลงให้ตัวเองฟัง 
เคยมีเหมือนกัน เคยมีกระต่ายภูเขา ตัวตุ่น แมวป่า หมาจิ้งจอก กระรอก ฯลฯ ที่ล้วนแต่มีรัง มีโพรง มีครอบครัวอยู่ใกล้ๆ กระท่อมหลังนั้น ซุบซิบกันอย่างสงสัยว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร มาจากไหนทำไมเขาถึงอยู่คนเดียว ไม่เหงาหรือ? 
แต่ก็ไม่เคยมีเคยเอ่ยปากถามเขาสักที
จริงๆแล้วผู้ชายคนนี้ก็มีเวลาที่เงียบเหงา ดูเข้าไปนัยน์ตาของเขา บางครั้งคล้ายว่ากำลังคิดถึงใครสักคน...ใครสักคนที่อยู่ไกลออกไป
ในวันหนึ่งของปลายฤดูร้อน เมล็ดฝนจำนวนมากกรู่ลงมาจากก้อนเมฆ เหมือนเด็กตัวเล็กๆวิ่งสุดฝีเท้ากลับบ้านในวันที่ครูใหญ่ประกาศปิดเทอม สายฝนพรั่งพรายราวสายทองในแสงเงิน
ชายเดียวดายเดินออกจากกระท่อมเงยหน้ารับฝนแรกด้วยใจไม่ยินดียินร้าย หากแต่ในรุ่งเช้า เมื่อเขาเปิดหน้าต่างออก ภาพที่เห็นคือความงามอันน่าอัศจรรย์ ภูเขาทั้งลูกห่มคลุมด้วยผ้าห่มสีม่วง ครั้นเมื่อลมพัดเบาๆ สีม่วงก็คล้ายดั่งผืนน้ำ ระบำเต้นเป็นรวงคลื่น
นั้นคือทะเลดอกต้อยดิ่ง ต้นต้อยติ่งได้รับน้ำฝน จึงคลี่กลีบดอกออกอวด จึงชูฝักเล็กๆ สีน้ำตางเข้มออกมา เมื่อฝนปรอยอีกครั้ง ฝักต้อยติ่งต่างเล่นฝนจนชุ่ม ที่ตามมาคือเสียงระเบิดเบาๆไปทั้งภูเขา...
เป็นนานที่ชายเดียวดายยืนนิ่ง ใจประหวัดไกลถึงวันคืนผ่านมา วันที่เขายังอยู่ในหมู่บ้านอบอุ่นทางภาคใต้ วันที่พร้อมพรั่งพี่น้องและหลานสาวของเขา เจ้าหญิงตัวเล็กๆ ผู้น่ารักงดงาม
เขายังจำนิ้วอูมป้อมที่เกาะกุมมือเดินเล่นรอบบ้าน จำดวงตาประกายและยิ้มใสที่ได้เห็นสิ่งแปลกๆ รอบตัว จำเสียงหัวเลาะ จำกระทั่งภาพเจ้าหญิงน้อยๆ ค่อยๆ เตาะแตะไปที่ผีเสื้อซึ่งกำลังจุมพิตกลีบดอกไม้ เขาหลับตานึกไปว่า ถ้าเจ้าหญิงได้เห็นเวลาที่ต้อยติ่งระเบิดออกจากฝัก...
และเขาก็ยังจำได้ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะเป็นวันครบรอบวันเกิดของหลานสาว เด็กน้อยเติบโตขึ้นอีกขวบปีแล้ว นั่นประหนึ่งเป็นปฏิทินว่า เขาไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลานานเท่ากัน
หากแต่ละวันคืนผ่านมาเคยมีบางเวลาที่รู้สึกเหงา มันก็เทียบไม่ได้เลยกับความเหงาที่ท่วมท้นขึ้นในยามนี้ ชายเดียวดายแทบจะอดทนรอให้ฝนขาดเม็ดไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องรอ
เมื่อฝนหยุดและแสงแดดส่องสาดเช็ดเนื้อเช็ดฝักต้อยติ่งจนแห้งสนิท ชายเดียวดายเดินออกไปในทะเลสีม่วง เขาปาดมือกับกางเกงอีกครั้งก่อนจะก้มเก็บฝักต้อยติ่งจำนวนหนึ่ง เอามันห่อกระดาษแล้วหุ้มด้วยพลาสติกกันน้ำอีกหลายชั้นจนแน่นหนา
หกโมงเย็นวันนั้น เขาร้องเพลงที่เพิ่งแต่งขึ้นใหม่...
เจ้าหญิง เจ้าหญิง
ระเบิดต้อยติ่งกำลังไปหา
พลุสวรรค์สวยงามจับตา
พาฉันย้อนเวลา ด้วยดวงตาเธอ
การเดินทางกลางสายฝนไม่ใช่เรื่องเป็นได้โดยง่าย แต่ชายเดียวดาย
ก็ไม่ย่อท้อ ตรงกันข้าม เขายิ่งก้มหน้าก้มตาสาวท้าวไม่หยุดยั้ง เพราะระยะทางจากภาคเหนือถึงภาคใต้ไม่ใช่ใกล้ๆ ยิ่งกว่านั้น วันเกิดก็กระชั้นเข้าทุกทีแล้ว
เขาไม่กลัวฝน แต่กลัวอย่างยิ่งว่าฝักต้อยติ่งจะโดนฝน เขาจึงเก็บห่อพลาสติกไว้ในซอกกระเป๋าส่วนที่ลึก ตกค่ำ แม้ร่างกายจะกะปลกกะเปลี้ยเหนื่อยอ่อน และต้องการเอนหลังนอนอย่างที่สุด ชายเดียวดายยังเอาซองพลาสติกออกมาอังกับไฟเตาผิงอยู่เป็นนานแล้วจึงล้มตัวนอน
เป็นไปได้ว่าเขาฝันไป แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาไม่ได้ฝัน ดึกคืนนั้นชายเดียวดายเหมือนได้ยินเสียงเล็กๆ ร้องไห้โวยวายอยู่ข้างๆเตียง
“ช่วยด้วย ช่วยเราด้วย เราโดนคนใจร้ายจับตัวไว้” 
“ขอน้ำกินหน่อยสิ คอแห้งจัง”
“ปล่อยเรานะ ปล่อยเราเดี๋ยวนี้”
“ ไม่ยุติธรรมเลย คนอะไรใจร้ายชะมัดจับเราขังคุกอุดอู้ แถมคิดจะย่างเราอีก”
“เขาไม่ได้ย่าง” อีกเสียงหนึ่งขัดขึ้น “เขาแค่ต้องการให้มั่นใจว่าพวกเราตัวแห้งสนิทเท่านั้น”
“มันเรื่องอะไรล่ะ โธ่เอ๋ย ฝนตกเปาะแปะรอบตัว ฉันได้กลิ่นหอมของน้ำฝน แต่กลับออกไปเล่นไม่ได้”
“เขาเห็นเราเป็นทาสหรือไง”
“ไม่ เขาเห็นเราเป็นของขวัญต่างหาก”
“โถ...ของขวัญ คนที่ได้รับคงดีใจตายล่ะ ของขวัญที่เกิดจากการทรมานชีวิตคนอื่นอย่างนี้”
“ฉันหิวน้ำ ขอกินน้ำหน่อย”
“มีแต่ไฟร้อนๆจะกินไหมล่ะ” 
“บอกว่าจะเอาเราไปให้หลานสาว โอ ช่างน่ารักเหลือเกิน เขาฝันที่จะเห็นหลานสาวตัวน้อยๆเติบโตอย่างงดงาม แต่กลับกีดกั้นเราไว้ ไม่ให้เติบโต ช่างน่ารักและยุติธรรมจริงๆ”
ชายเดียวดายสะดุ้งลืมตา ด้วยแสงรางๆ จากไฟในเตาผิง เขามองห่อต้อยติ่งบนโต๊ะข้างเตียง มันยังอยู่ตรงนั้น เขากวาดตาดูว่าไม่ใครอยู่ในห้องแน่แล้ว จึงเอียงหูลงแนบกับห่อ แต่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
เขาเอนตัวลงอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับนอนไม่หลับ ไม่ใช่เสียงฝนที่ตกกระทบหลังคาหรอกที่ทำให้เขานอนไม่หลับ
รุ่งเช้าชายเดียวดายออกเดินทางต่อ จะต่างจากเมื่อวานก็ตรงที่วันนี้
เขาก้าวเท้าช้าลงกว่าเดิม
และต่างอยู่เล็กน้อยตรงที่เขาเดินทางกางแขนกางมือทั้งสองข้างออกรับน้ำฝน
อ๋อ...และก็ต่างอีกนิดหน่อยตรงที่ในมือเขาเต็มไปด้วยฝักต้อยติ่งที่ไม่มีสิ่งห่อหุ้มพันธนาการใดๆ
ชายเดียวดายย่ำฝนไปช้า ๆ ฝักต้อยติ่งบนฝ่ามือต่างหมุนตัวเล่นระบำรับน้ำฝนสนุกสนาน ชายเดียวดายมองพวกมันมีความสุขแล้วเขาก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่นานต่อมาต้อยติ่งฝักแก่ระเบิดตัวนำไปก่อน แล้วฝักอื่นๆก็ตามกันไป โดยเฉพาะพวกฝักแฝด มันมีวิธีเล่นไม่เหมือนใคร มันแตกตัวพร้อมกัน และสลับขาโยนเมล็ดข้างในใส่กันด้วยความแม่นยำ อย่างนักระบำที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
เมื่อต้อยติ่งแตกหมดทั้งสองมือ ชายเดียวดายทรุดตัวนั่งลง เขาใช้เวลานั้นร้องเพลงในสายฝน รอให้เมล็ดต้อยติ่งที่หล่นลงพื้นดินงอกขึ้นมาเป็นต้นใหม่ ผลิดอกใหม่ และผลิฝักใหม่ เมื่อนั้นเขาก็ค่อยๆ เก็บฝักแล้วออกเดินทางต่อ เขาวางฝักทั้งหมดไว้ในมือ ด้วยวิธีนี้ แต่ละคืนเขาก็หลับอย่างเป็นสุข 
ด้วยวิธีนี้อาจทำให้การเดินทางช้าไปบ้าง แต่ชายเดียวดายก็พอใจ และคิดว่าเจ้าหญิงตัวน้อยๆของเขาก็คงจะพอใจ
ไม่น่าเชื่อ ในที่สุดเขาก็มาถึงบ้านที่ภาคใต้จนได้ ทั้งยังมาทันงานวันเกิดด้วย
เสียงเด็กๆ หัวเลาะและวิ่งไล่กันสนุกสนานที่ลานหญ้าสีเขียว เจ้าหญิงน้อยของเขายืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาเธอวาวประกาย เฝ้ามองผีเสื้อที่กำลังจุมพิตกลีบดอกไม้ 
ชายเดียวดายลากเท้าช้าๆ เขาเดินไปหาเจ้าหญิง ขณะเสียงหวานใสๆเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆ 
“คุณแม่ขา เรามีแขกมาถึงอีกคนหนึ่งค่ะ เพิ่งมาค่ะ ใครกันคะนั่น? โอ...คุณลุงใช่ไหมคะ คุณแม่ขาคุณลุงมาแล้ว...คุณลุงมาแล้ว” 
เขาหันไปทางต้นเสียงด้วยความประหลาดใจ หญิงสาวคนหนึ่งประพิมพ์ประพายเดียวกับเจ้าหญิงน้อยๆ ตรงหน้า ยิ้มให้แล้วโถมเข้ามาอย่างดีใจ เมื่อปลายนิ้วของเธอสัมผัสกับหัวใจของเขา ชายเดียวดายก็รู้ว่าเธอมิใช่ใครอื่น เจ้าหญิงตัวน้อยๆ ในวันเก่าของเขานั้นเอง
บัดนี้ชายเดียวดายไม่ใช่ชายฉกรรจ์อีกต่อไปแล้ว เส้นผมบนศรีษะซึ่งดำขลับในวันเริ่มต้นเดินทาง กลับกลายเป็นปุยขาว เช่นเดียวกับขนกระต่าย หลานสาวตัวเล็กๆ ในครั้งโน้นก็เติบโตเป็นหญิงสาวสวยงาม เธอมีสามีที่ดี และมีเจ้าหญิงตัวน้อยๆ ที่ครบรอบวันเกิดในวันนี้
“ดูนี่ซีจ๊ะ ลูก คุณตามีของวิเศษอะไรมาให้หนูเอ่ย” เธอพูดกับเจ้าตัวน้อย 
ปลายนิ้วอูมป้อมแตะที่มือชายชรา นัยน์ตาประกายจ้องมอง ของวิเศษในมือที่เหี่ยวย่น ยิ้มน้อยระบายก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะ แม้เป็นวันที่ฟ้าใสไร้เมฆ แต่น้ำก็หยาดลงมาได้ เป็นน้ำจากดวงตาพร่าพรายของคนที่เดียวดายตลอดการเดินทาง
ฝักต้อยติ่งในอุ้งมือต่างพลิกตัวบิดขี้เกลียด แท้แล้วพวกมันกำลังฝันหวาน มันฝันว่าฝนแรกกำลังมา และเสียงเพลงจากที่ไกลๆเพลงหนึ่งก็ชวนให้ออกไปเต้นระบำ
นกน้อยก้มมองด้วยความแปลกใจ ที่จู่ๆ กระต่ายภูเขาก็หยุดเล่านิทานของมันลงเฉยๆ
“จบแล้วหรือ? ทำไมไม่เล่าต่อล่ะจ๊ะ” เธอร้องถาม
“ผมยอมรับว่าผมนึกไม่ออก...” กระต่ายพูดช้าๆ แม้คิ้วขมวดแสดงความกังวลออกมาเล็กน้อย แต่น้ำเสียงยังคงเนิบนุ่มสบายใจ
“นึกไม่ออกว่าจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมควรจะเปลี่ยนคำใช้เรียกชายผู้นั้นว่าอย่างไร จึงจะเหมาะสมกับความเป็นจริง ในเมื่อผมเรียกเขาว่า ชายเดียวดาย มาจนติดปากเสียแล้ว”
“หมายความว่า นับจากวันนั้นเป็นต้นมาเขาไม่เดียวดายอีกต่อไป” นกน้อยรีบต่อด้วยความดีใจ 
“...ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจพำนักอยู่กับครอบครัวของเขาอย่างมีความสุขตราบกาลนาน ใช่ไหมจ๊ะ”
กระต่ายส่ายหน้า
“ไม่หรอกครับ ตอนจบที่แท้จริงก็คือ ชายผู้นั้นได้เดินทางกลับคืนสู่ภูเขาทางภาคเหนืออีกครั้ง กลับไปอยู่ในกระท่อมอันเคยเดียวดายหลังนั้น”
เมื่อชำเลืองเห็นนกน้อยถอนใจอย่างเสียดาย กระต่ายหลับตาลง และเล่าต่อว่า
เพียงแต่ในกาลต่อมา เขาไม่เคยเหงาอีกเลย ด้วยทุกๆปีจะมีเด็กหญิงเด็กชายตัวเล็กๆ ผลัดเวียนเปลี่ยนหน้าเดินทางมาหาเขามิได้ขาด มาช่วยปลูกผัก มาฟังนิทาน มาให้เขาจูงมือน้อยๆพาไป...
แม้จะก้าวเตาะแตะ แต่เท้าเล็กๆ หลายคู่นั้นก็ไม่มีวันหลง 
จะยากอะไรในการเดินทางจากภาคใต้ขึ้นมาเสาะแสวงหาบ้านของชายผู้เคยเดียวดายแห่งผูเขาทางภาคเหนือ...ก็แค่มาตามเส้นทางสายเล็กๆ ที่มีต้อยติ่งสะพรั่งสองข้างทางเท่านั้นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น